Page 59 - [E-Book] วันศาสนูปถัมภ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
P. 59

ส่วนที่ว่า กรมธรรมการสังฆการี  เป็นกรมเก่านั้น ปรากฏตามพระราชนิพนธ์ของ
                  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในหนังสือประวัติสังเขป

                  แห่งการจัดการศึกษาปรัตยุบันแห่งประเทศสยาม ภาค ๑ (พ.ศ. ๒๔๑๔-๒๔๓๖) ไว้ดังนี้
                           “กระทรวงธรรมการตั้งเป็นกระทรวงเสนาบดี ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน
                  รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑ ตรงกับปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๓๕ กรมต่างๆ ซึ่งรวมเข้าเป็นกระทรวงธรรมการ

                  คือ กรมศึกษาธิการ ๑ กรมพิพิธภัณฑ์ ๑ กรมพยาบาล ๑ กรมธรรมการสังฆการี ๑ ทั้ง ๔
                  กรมนี้เดิมบังคับบัญชาอยู่ต่างกัน เป็นกรมเก่าแต่กรมธรรมการสังฆการี นอกจากนั้นมีขึ้นเมื่อ

                  ในรัชกาลที่ ๕”
                           จากเค้าความตามที่พบในเอกสารทางประวัติศาสตร์และพระราชพงศาวดารต่างๆ

                  จึงถือเป็นข้อยุติว่า กรมการศาสนามีประวัติความเป็นมาดังกล่าวข้างต้น และได้สรุปประวัติโดยเริ่ม
                  แต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา

                  ดังนี้


                           สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)

                           ๑. ยุคแรกเรียกชื่อว่า กรมสังฆการีขวา เจ้ากรมเป็นที่หลวงธรรมรักษา ได้ความจาก
                  พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ว่า “เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก

                  เสวยราชย์แล้ว ทรงตั้งต�าแหน่งพระราชาคณะ ปรากฏว่า หลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังฆการีขวา
                  ซึ่งเป็นพระพิมลธรรมมาก่อน ต้องสึกในแผ่นดินกรุงธนบุรี ว่าต้องอธิกรณ์อทินนาทาน ทรงแคลงอยู่

                  จึงให้พิจารณาไล่เลียงดูใหม่ ก็บริสุทธิ์อยู่ หาขาดสิกขาบทไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
                  ให้กลับบวชเข้าใหม่ให้เป็นพระญาณไตรโลก อยู่วัดสลัก (ปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)

                  การครั้งนี้ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ปีแรกที่เสวยราชย์”
                           ๒. ยุคที่สอง เรียกชื่อว่า สังฆการีธรรมการ ไม่ปรากฏนามเจ้ากรม ได้นามนี้จาก
                  กฎหมายคณะสงฆ์ ฉบับที่ ๑ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก ตราขึ้นหลังจาก

                  เสวยราชย์ได้ ๕ เดือน
                           ๓. ยุคที่สาม เรียกชื่อว่า สังกระรียธรรมการ ไม่ปรากฏนามเจ้ากรมเช่นกัน ได้นามนี้จาก

                  ประกาศกฎเกี่ยวกับพระสงฆ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๔
                           ตามที่กล่าวมานี้ เข้าใจว่า ชื่อกรมทั้ง ๓ นี้คงเป็นกรมเดียวกัน อาจเปลี่ยนชื่อกันบ้าง

                  หรือไม่ก็เรียกเพี้ยนกันบ้าง หรือหากเป็นคนละกรม ก็คงจะเป็นกรมขึ้นต่อพระยาพระเสด็จ
                  เจ้ากรมธรรมการใหญ ตามแบบแผนกรุงศรีอยุธยา









            52
           วันศาสนูปถัมภ พ.ศ. ๒๕๖๐
   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64