Page 80 - ธรรมะจากธรรมาสน์ เล่ม ๓
P. 80

ธรรมะจากธรรมาสน เลม ๓



                  คนดีสามารถบ�าเพ็ญประโยชน์ทั้งสามประการแก่คนเป็นอันมาก เพราะเขาท�าหน้าที่

          ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าสมาชิกในสังคมใด พร้อมใจกันท�าหน้าที่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
          สังคมนั้นก็จะมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์ จึงเป็นสิ่งส�าคัญ

          ส�าหรับการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ แท้ที่จริง การปฏิบัติหน้าที่ ก็คือ การปฏิบัติธรรม

          สมดังบาลีนิกเขปบทที่อาตมภาพยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า “ธัมมัง จะเร สุจะริตัง” เป็นต้น

          แปลความว่า “บุคคลควรประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่ควรประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้ประพฤติ
          ธรรมย่อมอยู่เปนสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า” พระพุทธเจ้าทรงประทานพุทธภาษิตนี้แก่

          พระเจ้าสุทโธทนะ ในโอกาสที่เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกภายหลังจากการตรัสรู้

          ในพุทธภาษิตนี้ ค�าว่า “ธรรม หมายถึง หน้าที่ กล่าวคือ พระเจ้าสุทโธทนะทรงมีหน้าที่ในการ
          ปกครองซึ่งจัดเปนวรรณธรรม คือ หน้าที่ประจ�าวรรณะกษัตริย์ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธธรรม

          คือ หน้าที่ประจ�าของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะต้องออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์

          ใครมีธรรม คือ หน้าที่อะไรควรท�าหน้าที่นั้นให้สุจริตด้วยลักษณะ ๓ ประการ ได้แก่

          ๑) ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ ๒) ไม่ละเว้นหน้าที่ และ ๓) ไม่ทุจริตต่อหน้าที่”

                  ประการแรก บุคคลชื่อว่า “ไม่บกพร่องต่อหน้าที่” เพราะเขาทุ่มเทอุทิศตน
          ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มก�าลังความสามารถ เมื่อได้รับมอบหมายให้ท�าหน้าที่ใด เขาจะ

          ท�าหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความบกพร่องเสียหายแก่งานในหน้าที่ เข้าท�านองที่ว่า

          “ร้องให้สุดค�า ร�าให้สุดแขน แพนให้สุดปีก” ดังที่นักปราชญ์จีนชื่อว่า ขงจื้อ กล่าวไว้ว่า
          “เมื่อได้รับมอบหมายให้ท�าหน้าที่ใด จงท�าหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ถ้าเขาให้เลี้ยงม้า ม้าจะต้อง

          อ้วน ถ้าเขาให้เปนเสนาบดีกระทรวงการคลังเงินจะต้องเต็มคลัง”

                  ประการที่สอง บุคคลชื่อว่า “ไม่ละเว้นหน้าที่” เพราะเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

          เขาจึงไม่ละทิ้งหน้าที่หรือผลักภาระหน้าที่ของตนไปให้คนอื่น เช่น ผู้เป็นทหารย่อมไม่หนีทัพ

          ผู้เป็นบิดามารดาย่อมไม่ละทิ้งหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนบุตรธิดา ในนิทานอีสปมีเรื่องเล่า
          เกี่ยวกับมารดาที่ไม่ท�าหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนบุตรของตน เมื่อพบว่า เขาชอบลักขโมย

          ในวัยเด็ก พอบุตรเติบใหญ่ก็กลายเป็นโจร อีสปสรุปว่า “เมื่อบุตรเปนโจร บิดามารดาย่อมมี

          ส่วนในการสร้างความเปนโจรให้กับบุตร เหตุเพราะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการอบรม
          สั่งสอนบุตรของตน”

                  ประการสุดท้าย บุคคลชื่อว่า “ไม่ทุจริตต่อหน้าที่” เพราะเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ไปในทาง

          ที่มิชอบด้วยกฎหมายและหลักศีลธรรม หมายถึง เขาไม่ใช้อ�านาจหน้าที่ไปในการแสวงหา




        74
   75   76   77   78   79   80   81   82   83   84   85