Page 26 - วารสารสายตรงศาสนา ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๖ (สิงหาคม - กันยายน ๒๕๖๖)
P. 26

๒. การเก็บรักษาทรัพยสินของผูอื่นโดยผิดยุติธรรม มีการกระทําผิดในแงมุมนี้ อยูหลายลักษณะดวยเหมือนกัน คือ

                    ก. ลูกหนี้ไมยอมชําระหนี้หรือพวกเหนียวหนี้ อยางนี้ ถือวาขาดความรับผิดชอบ เพราะตอนไปกูยืมเขาก็ตั้งใจอยางดี
             แตพอถึงเวลาจะตองคืนเขากลับไมพยายามที่จะทําหนาที่ของลูกหนี้ที่ดี อาจทำใหเจาหนี้ตองเสียหายได เพราะเขาก็มี
             ความจําเปนที่จะตองใชทรัพยสินของเขาเหมือนกัน

                    ข. ผูที่รับซื้อของโจร คือรูวาของที่ซื้อมานั้นเปนของที่เขาขโมยมา เรียกวาเปน “ของโจร” เปนของที่ไดมาโดยผิดกฎหมาย
             และยังไปซื้อมาอีกอยางนี้ถือเปนความผิดในฐานะรวมกระทําความผิดดวย
                    ค. การไมคืนของที่เก็บไดหรือของที่มีคนฝากไว สิ่งของเหลานี้มิใชของเรา ดังนั้นเราตองคืนใหเจาของโดยเร็ว

             ถาหากเจาของไมพบก็ตองนําสิ่งนั้นสงใหเจาหนาที่ประกาศหาเจาของตอไป หรืออยางนอยถาไมสามารถคืนเจาของไดจริง ๆ
             ตองนำทรัพย สินนั้นไปใชในสาธารณะกุศล หรือจะปรึกษากับพระสงฆก็ได
                    ๓. การจงใจทำลายทรัพยสินของผูอื่น เชน เวลา โกรธหรือโมโหผูอื่นก็นําไฟไปเผาบานเขาเสียหรือบางครั้งปลอยปะ

             ละเลยไมดูแลสัตวเลี้ยงของตน ปลอยใหไปทำลายทรัพยสินหรือกอความรําคาญใหผูอื่น
                    ๔. รวมมือในการทําผิดพระบัญญัตินี้ เชน การทำหนาที่เปนตนทางใหผูอื่นขโมยหรือรวมมือกันฉอโกงผูอื่นหรือ

             ทำลายทรัพยสินของผูอื่น เปนตน
                    อยางไรก็ดีตองระลึกเสมอวาการทําผิดพระบัญญัตินี้เกิดขึ้นไดงาย ๆ ถาเราไมรูจักบังคับตนเอง บังคับใจตัวเองไมใหโลภ
             อยากไดทรัพยสินของผูอื่นเราก็จะไมเกิดความเคยชินในการกระทําผิดในเรื่องนี้หรือพูดงาย ๆ เราจะไมมักไดในทรัพยของเขานั่นเอง

             เราจะใหความยุติธรรมทุกกรณีและมีจิตเมตตาตอผูอื่นอีกดวย
                    และอยาลืมวาบาปผิดตอความยุติธรรมนี้จะไดรับการยกตอเมื่อตองชดเชยทรัพยสินสิ่งของที่เราทําผิดนั้นใหกับ

             ผูเสียหายดวย มิฉะนั้นบาปจะไมหลุดในกรณีหาใชคืนเขาไมไดจริง ๆ ตองทําการตกลงกันใหเรียบรอยดวย.... พูดงาย ๆ
             ก็คือเราตองคืนความยุติธรรมใหเขานั่นเอง.






                                                           บทที่ ๒๕

                                                     อยาพูดเท็จใสรายผูอื่น


                    พระบัญญัติทั้งประการที่ ๗ และ ๑๐ เปนเรื่องการผิดยุติธรรมหรือการละเมิดตอทรัพยสินของผูอื่น ในพระบัญญัติ

             ประการที่ ๘ เปนเรื่องการผิดยุติธรรมหรือการละเมิดสิทธิ์ตอชื่อเสียงของผูอื่น ตางกันตรงสิ่งที่ถูกละเมิด กลาวคือ
             เปนความผิดตอวัตถุในประการที่ ๗ และ ๑๐ สวนประการที่ ๘ เปน เรื่องของชื่อเสียง นั่นเอง
                    พระบัญญัติประการที่ ๘ นี้ เราตองแยกเปน ๒ ประเด็น

                    คือ “นินทา” และ “ใสความ”
                    นินทา หมายถึง การเอาเรื่องของผูอื่นไปพูด และเรื่องที่พูดถึงนั้นทําใหผูที่ถูกพูดถึงเสียหาย ถึงแมเรื่องนั้นจะเปน

             เรื่องจริงก็ตาม สาเหตุเพราะเราไมมีสิทธิ์ที่จะนําเรื่องของผูอื่นไปพูด โดยที่เจาตัวเขาไมอนุญาต ถือเปนเรื่องสิทธิสวนตัวของเขา
             อยางไรก็ตาม ในกรณีของผูที่มีหนาที่ที่ตองรับผิดชอบโดยตรง ก็สามารถนาเรื่องของผูที่ตนรับผิดชอบแจงกับผูเกี่ยวของได
             เพราะเปนหนาที่ เชน เราเห็นใครทําผิด ซึ่งความผิดนั้นจะนํามาซึ่งความเสียหายตอสวนรวม เราตองแจงใหผูมีหนาที่ทราบอยาง

             นี่ก็ไมถือวานินทา
                    สวนการนําเรื่องที่ดีของผูอื่นไปพูด และไมกอใหเกิดความ เสียหายใด ๆ ไมถือวาเปนการนินทา แตก็ควรระวังวา

             เจาตัวเขาจะยินดีหรือไมดวยเหมือนกัน
                    ใสความ หมายถึง การนําเอาเรื่องของผูอื่นไปพูด เชน เดียวกับการนินทา แตทวาเรื่องที่นําไปพูดนั้นเปนเรื่องไมจริง
             ดังนั้นความผิดเรื่องการใสความนี้จึงหนักกวานินทามาก



              ๒๖  วารสารสายตรงศาสนา
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31