Page 98 - ธรรมะจากธรรมาสน์ เล่ม ๓
P. 98

ธรรมะจากธรรมาสน เลม ๓



                  ๘. ไม่ผูกขาดการสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์สาธารณกุศลเพื่อทั้งฝายตน
                    และฝายผู้อื่น  แต่สนับสนุนส่งเสริมการสร้างสรรค์สาธารณกุศลและ

                    สาธารณประโยชน์แก่ทั้งฝายตนและฝายผู้อื่นโดยไม่รังเกียจ

                  ๙. ไม่สอดรู้สอดเห็นในทุกรูปทุกเรื่องอย่างหยุมหยิมตลอดเวลา จนคนอื่น ๆ

                     ลงความเห็นว่า “คน ๆ นี้เปนตัวมหาภัย หรือเปนตัวอันตรายที่ไว้วางใจอะไรไม่ได้”

                  การดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคอันตราย และอาชีพการงานเพื่อความอยู่รอด ข้อนี้
          เป็นธรรมดาของมนุษย์ ซึ่ง คนฉลาด ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อ ความวัฒนาถาวร ความเจริญรุ่งเรือง

          ของสังคม ส่วน คนโง่ ดิ้นรนต่อสู้เพื่อ ความหายนะของสังคม คนโง่ อิจฉาริษยาคนอื่น เพราะกลัว

          คนอื่นจะได้ดีมีความสุข คนฉลาด อยู่ในศีลสัตย์ มีเมตตาต่อคนอื่นและสัตว์อื่น เพราะกลัวคนอื่น

          และสัตว์อื่นจะเดือดร้อน ส่วน คนโง่ เป็นทุกข์ใจ เพราะกลัวความเหน็ดเหนื่อย ความล�าบาก
          อันเกิดจากการท�างาน คนฉลาด เป็นทุกข์ใจ เพราะกลัวจะไม่มีงานท�า คนโง่ กับ คนฉลาด

          ถึงจะเสมอกันโดยยศต�าแหน่งหน้าที่การงาน แต่ก็ต่างกันโดยความเสื่อมและความเจริญ

          ในหน้าที่การงาน ข้อคิดส�าหรับท่านสาธุชนในข้อนี้ ก็คือ เมื่อพบ คนโง่ กับ คนฉลาด ที่มียศ

          ต�าแหน่งเสมอกัน ก็จงคบกับ คนฉลาด นั้นเถิด แล้วชีวิตของท่านจะพ้นจากความหายนะ
          แน่นอน

                  “คนโง่ ถึงขั้นสุดยอดนั้น ท่านสาธุชน อาจมีทางสังเกตได้ดังนี้ ลัทธิระดับสุดยอดของ

          คนโง่ ก็คือ ลัทธิเสี้ยมสอนให้คนเนรคุณ ความรู้ระดับสุดยอดของ คนโง่ ก็คือ ความรู้
          ที่สร้างพิษภัยต่อสังคม การหลอกระดับสุดยอดของ คนโง่ ก็คือ การหลอกตัวเอง มายา

          ระดับสุดยอดของ คนโง่ ก็คือ มายามุ่งปดความชั่วของตนเอง ความหลงระดับสุดยอด

          ของ คนโง่ ก็คือ ความหลงตนเอง ยอดเก่งของ คนโง่ ก็คือ เก่งในทางพูดทับถมคนอื่น

          ยอดชั่วของ คนโง่ ก็คือ การเห็นตนเองเปนคนดี เห็นคนอื่นชั่วทั้งหมด และเห็นพวกของตนเอง

          เปนคนดี เห็นพวกของคนอื่นชั่วทั้งหมด ยอดถ่อยของ คนโง่ ก็คือ การสอนญาติมิตร ศิษย์
          บริวารผู้อยู่ใต้บัญชา ให้เกลียดชังคนอื่นแล้วโน้มน้าวจิตใจให้เขาเหล่านั้น หันมารักตน”

          ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ “คนโง่ ที่รู้ตัวว่าตนเองโง่นั้น ย่อมไม่ใช่ คนโง่ แต่ คนโง่ ที่ไม่รู้

          ตัวเองว่า โง่ เปนอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม” ดังนั้น “การคบหาสมาคมกับ คนโง่
          ที่รู้ตัวเองดีกว่าอยู่กับ คนโง่ ที่ไม่รู้ตัวเอง หรืออยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับ คนโง่”

                  คนโง่ มักจะยึดถืออะไรผิด ๆ อันไม่เป็นผลดีต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งสร้างความเดือดร้อน

          แก่ตนเองและคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้น อ�านาจที่อยู่ในมือของ คนโง่ นั้น ย่อมแปรเปลี่ยน




        92
   93   94   95   96   97   98   99   100   101   102   103